Real beauty Real you

“สวยในแบบที่คุณเป็น”

การใช้โบท็อกเพื่อเสริมความงาม

โบท็อก (Botox)

โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin)

คือโปรตีนที่ทำการสกัดจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม ( Clostridium botulinum ) ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะสร้างสารที่เป็นพิษที่เรียกว่า โบทูลิซึม ( Botulism ) ที่มีพิษต่อร่างกายมนุษย์ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาโปรตีนชนิดนี้ให้กลายมาเป็นยารักษาโรค โดยพัฒนากลไกการออกฤทธิ์เข้ามาช่วยในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งที่เกิดขึ้นใน ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบสมอง ระบบกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดการชักกระตุก ภาวะกล้ามเนื้อลูกตาหดตัวหรือภาวะตาเข และนายแพทย์ Dr.Alastair Carruthers ชาวแวนคูเวอร์ ในประเทศแคนนาดาได้สังเกตเห็นว่าเมื่อทำการฉีดยาโบทูลินั่ม ท็อกซินเข้าไปเพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อรอบตาที่เกิดอาการหดเกร็ง แล้วริ้วรอยที่มีอยู่ระหว่างคิ้วจางลง จึงได้มีการทดลองนำยาชนิดนี้มาฉีดเข้าสู่บริเวณที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นที่มีอยู่บนใบหน้า พบว่าริ้วรอยที่มีเกิดขึ้นบางส่วนหายไปและบางส่วนจางลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ส่งผลให้ผิวหน้าแลอ่อนเยาว์ และได้นำยาชนิดนี้เข้ามาใช้ในการริ้วรอยเหี่ยวย่นที่บริเวณคิ้ว หน้าผาก บริเวณหางตา ต่อมาได้นำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงามจนเป็นอันดับหนึ่งที่มีคนนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน

1) การใช้โบท็อกเพื่อลดริ้วรอยย่นบนใบหน้า

โบท็อกสามารถช่วยในการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยตีนกา ริ้วรอยใต้ตา รอยที่บริเวณหน้าผาก หรือการลดการหย่อนคล้อยของผิวหนังส่วนอื่น โดยโบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นหายไป ดังนั้นเมื่อทำการฉีดยาในปริมาณและตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างเห็นได้ชัด จึงนับได้ว่าความเชี่ยวชาญและประสบการของแพทย์ที่ทำการฉีดสารเข้าสู่ร่างกายมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยลดเลือนริ้วรอยอย่างได้ผล แต่ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ริ้วรอยหายไปได้น้อยและอาจอาการแทรกซ้อน เช่น คิ้วตก คอห้อย มุมปากเบี้ยว เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งที่นิยมทำการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อทำการรักษาริ้วรอย ได้แก่ รอยตีนกา ร่องระหว่างคิ้ว รอยย่นที่บริเวณหน้าผาก ไม่ว่าจะเป็นรอยลึกหรือรอยตีนการฉีดสารชนิดนี้ก็สามารถลดริ้วรอยได้ หลังจากการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซินเพียงแค่ 1 สัปดาห์ริ้วรอยที่ต้องการลบเลือนก็จะหายไป ซึ่งความเรียบเนียนของผิวหน้าจะคงอยู่ประมาณ 3-6 เดือนหลังจากการฉีด ทั้งนี้จะการกลับคืนของริ้วรอยจะเร็วหรือช้า จะขึ้นอยู่กับการแสดงสีหน้า อารมณ์ด้วย ถ้ามีการแสดงอารมณ์และสีหน้ามาก ริ้วรอยก็จะกลับมาเร็ว แต่ถ้ามีการแสดงสีหน้าและอารมณ์ไม่มาก ริ้วรอยที่เกิดขึ้นก็จะกลับมาช้านั่นเอง ผลลัพธ์หลังการฉีด : ลดเลือนริ้วรอยได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน

2) โบท็อกเพื่อทำการปรับรูปทรงของใบหน้าหรือรูปทรงของอวัยวะบนร่างกาย

2.1 การใช้โบท็อกปรับรูปทรงของใบหน้า
การทำงานของโบท็อก คือ การทำให้กล้ามเนื้อขยับได้น้อยลง กล้ามเนื้อกรามจึงหดกระชับลงเรื่อยๆกรามจึงมีขนาดเล็กลง นั่นคือ สามารถเปลี่ยนรูปทรงของใบหน้าที่มีลักษณะอวบอิ่ม กลมโต ให้กลายเป็นใบหน้ารูปทรงตัววี (V-shape) หรือทรงตัวยู (U-shape) การที่จะมีใบหน้ารูปทรงทั้งสองแบบได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะที่สำคัญ 2 ส่วนด้วยกัน คือ ลักษณะของขากรรไกรและลักษณะของกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกราม ลักษณะของทั้ง 2 ส่วนจะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของใบหน้า

การฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการฉีดที่คอนข้างสูง เพราะหากว่าทำการฉีดไม่ถูกตำแหน่งหรือตำแหน่งทั้งสองข้างไม่สมมาตรกัน หรือแม้แต่การให้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมทำให้กล้ามเนื้อหดตัวในปริมาณที่ไม่เท่ากัน จะส่งผลให้ลักษณะของใบหน้าที่เกิดขึ้นมีการบิดเบี้ยว หรือถ้าทำการฉีดยาในปริมาณที่สูงและลึกมาเกินไปอาจจะส่งผลต่อการบดเคี้ยว และอาจส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอาการดังกล่าวจะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราวแต่ก็สามารถสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตได้

ผลลัพธ์หลังการฉีด : ลดกรามได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

2.2 การใช้โบท็อกปรับแต่งรูปคิ้ว
คนที่มีปัญหาเรื่องคิ้วตก หรือบางคนคิ้วอาจไม่ตกแต่อยากมีคิ้วโก่งสวยได้รูป ก็สามารถใช้ โบท็อกในการปรับแต่งรูปคิ้วได้ การฉีดโบท็อกเข้าไปลายกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ต้องการเพื่อปรับเปลี่ยนรูปให้คิ้วเป็นทรงต่างๆ เช่น คิ้วทรงตรง คิ้วทรงโค้ง และคิ้วแบบนางแบบ ซึ่งความนิยมรูปคิ้วแบบต่างๆขึ้นอยู่กับแฟชั่นในแต่ละปี

ผลลัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน

3) การใช้โบท็อกแก้ปัญหาหน้ามัน

โบท็อก สามารถฟื้นฟูโครงสร้างของผิวหน้าและยกผิวหน้าให้กระชับ ด้วยเทคโนโลยีเมโสโบท็อก เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน และกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้า ทำให้รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน และลดความมันบนใบหน้าลง

ผลลัพธ์หลังการฉีด : ออกฤทธิ์หลังการฉีด 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 3 เดือนYour Title Goes Hereฉีดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น

4) การใช้โบท็อกเพื่อช่วยลดขนาดของแขน น่อง ขา

โบท็อกซจะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดที่ลดลงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง ต่างจากการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของน่องที่อาจสร้างผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เมื่อทำการฉีดสารนี้เข้าไปยังบริเวณกล้ามเนื้อของน่องที่มีลักษณะปูดหรือนูนออกมามากจนทำให้น่องมีลักษณะใหญ่ โบท็อกซ์จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว ทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวมีขนาดที่เล็กลง หลังจากทำการฉีดสารเข้าไปประมาณ 1-2 เดือน กล้ามเนื้อจะมีขนาดที่เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ขนาดของน่องเล็กลงตามขนาดของกล้ามเนื้อที่ลดลง จากน่องใหญ่จึงกลายมาเป็นน่องเล็กเรียวตามต้องการ แต่ถ้าน่องโตเพราะไขมันหรือเซลลูไลท์สะสมต้องแก้ไขด้วยวิธีอื่น

ข้อจำกัดในการฉีดเพื่อลดขนาดของน่อง ขา

ฉีดได้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น

ไม่สามารถทำการฉีดได้ตลอดทั้งขา เพราะโดยโบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่บริเวณดังกล่าว จึงส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย

ผลของโดย โบท็อกจะไม่คงอยู่ตลอดชีวิต

แต่ผลของยาจะสามารถคงอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น ขนาดของน่องจะกลับเข้าสู่ขนาดเดิมก่อนที่ทำการฉีดสารเข้าไป ดังนั้นการรักษาขนาดของน่องให้เรียวเล็กจำเป็นต้องทำการฉีดอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์หลังการฉีด : ลดแขน น่อง ขาได้นานประมาณ 6 – 12เดือน

5) การใช้โบท็อกเพื่อช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัว

ปัญหาเหงื่ออกมากเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลายคน ภาวะเหงื่อที่ออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะอาการเหงื่อออกเฉพาะที่ ( Hyperhidrosis ) และกลิ่นตัว มีสาเหตุมาจาการทำงานที่มากผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกานมีการสร้างเหงื่อออกมามาก ซึ่ง โบท็อกสามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวที่ร่างกายผลิตออกมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ใต้รักแร้ ฝ่ามือ เป็นต้น แม้จะทาโรลออนระงับกลิ่นกายหรือแป้งเพื่อลดปริมาณและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากเหงื่อ ซึ่งการฉีดโบท็อกจะสามารถช่วยลดปริมาณเหงื่อให้มีปริมาณน้อยลงได้ สาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ( Botulinum toxin ) จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ โดยจะเข้าไปยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทของเส้นใยประสาทที่ทำหน้าที่ในการสั่งงานให้ต่อมเหงื่อทำการหลั่งเหงื่อออกมา ซึ่งการฉีดโบท็อกเพียงครั้งเดียวจะสามารถยังยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้ประมาณ 1 ปี ถึงแม้ว่าจะสามารถรักษาอาการเหงื่อออกมากได้ แต่ว่าการฉีดโบท็อกจะทำให้เกิดอาการห้อเลือด มีรอยเข็ม และถ้าทำการฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ลึกเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการกล้ามเนื้อที่บริเวณฝามือหรือรักแร้มีอาการอ่อนแรงได้

ผลลัพธ์หลังการฉีด

: เห็นผลการรักษาว่าเหงื่อลดลงในเวลา 1-2 สัปดาห์ และลดปริมาณเหงื่อและกลิ่นตัวได้นานราว 4 – 6 เดือน
จะเห็นว่าสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ที่นอกจากจะสามารถช่วยรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็งได้แล้ว ยังสามารถช่วยสร้างความงามให้กับใบหน้าและเรือนร่างได้ ปัจจุบันพบว่าการนำสารชนิดนี้มาใช้ในการเสริมความงามเป็นที่นิยมกันมากเป็นอันดับต้น ๆ เพราะวิธีการใช้ที่ง่ายและสามารถสร้างความงามอย่างได้ผล

การศัลยกรรมสร้างความงามสามารถความมั่นใจให้กับตนเอง สามารถช่วยเปิดโอกาสทางด้านสังคมและการงานได้ แต่การศัลยกรรมที่ดีผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การฉีดสารเข้าสู่ร่างกาย ควรจะต้องทำการศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจทำการศัลยกรรม เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่หวังเพียงผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เข้ารับการผ่าตัด และควรที่จะเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียง แล้วการฉีด โบท็อกจะสามารถสร้างชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างที่ใจต้องการ

FILLER

ฟิลเลอร์

(Filler) คือ ?

สารเติมเต็มชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติของผิวหนัง เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นให้กับผิว ทดแทนในส่วนที่หายไปตามกาลเวลา และช่วยแก้ปัญหาต่างๆ บนใบหน้า โดยสารส่วนใหญ่ที่มักจะใช่ในการฉีดฟิลเลอร์ คือ สารฮายารูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เรียกสั้นๆว่า HA เนื่องจากเป็นสารเพียงชนิดเดียวที่ผ่านอย. ในประเทศไทย และ USFDA จากสหรัฐอเมริกา สามารถสลายไปได้ 1-2 ปี หลังจากใช้ จึงมีความปลอดภัยสูง และไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ใดๆ

ฉีดฟิลเลอร์จุดไหนได้บ้าง ?

  1. ฟิลเลอร์หน้าผากเหมาะสำหรับคนที่หน้าผากแบน หน้าผากยุบ อยากปรับหน้าผากให้นูนสวย ดูมีมิติ รวมถึงปรับโหวงเฮ้ง เป็นการศัลยกรรมหน้าผากที่ไม่ต้องผ่าตัดเสริมซิลิโคนหน้าผาก
  2. ฟิลเลอร์ขมับเป็นการเติมเต็มขมับที่บุ๋ม ทำให้ใบหน้ารับกัน ได้รูปสวยงาม และได้สัดส่วน รวมถึงเป็นการปรับโหวงเฮ้งอีกหนึ่งจุดด้วย เชื่อว่า การมีขมับ หน้าผาก หรือใบหน้าที่อวบอิ่ม จะช่วยเรื่องของทรัพย์ ค้าขาย ธุรกิจ ที่ดีขึ้น เป็นต้น
  3. ฟิลเลอร์ใต้ตาเติมเต็มรองลึกบริเวณใต้ตา ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาดำ ใต้ตาคล้ำ ริ้วรอยใต้ตา และใต้ตาเป็นร่อง เติมเต็มให้อิ่มฟู เปลี่ยนคนจากที่ใบหน้าดูอ่อนล้า ให้กลับมามีใบหน้าที่สดใส สดชื่น หน้าดูเด็กลง อีกทั้งยังแก้ปัญหาความหย่อยคล้อยใต้ตา ลดถุงใต้ตาได้อีกด้วย
  4. ฟิลเลอร์แก้มช่วยแก้ปัญหาแก้มห้อย แก้มหย่อน เติมเต็มแก้มทำให้ใบหน้าดูสดใส มีแก้มส้มเหมือนวัยเด็ก
  5. ฟิลเลอร์ร่องแก้มเติมฟิลเลอร์เพื่อช่วยลดริ้วรอยที่ลึก และทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้น
  6. ฟิลเลอร์คางหรือการเสริมคางด้วยฟิลเลอร์ ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางถอย ปรับให้ใบหน้าเรียวยาว (V-Shape) ขึ้น
  7. ฟิลเลอร์ปากช่วยเติมเต็มปากให้ดูอวบอิ่ม สดใส และเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน อย่างการ ฉีดฟิลเลอร์ปากสายฝอ ปากเซ็กซี่แต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติ
  8.  ฟิลเลอร์เสริมจมูกในบางคนที่ไม่อยากเสริมจมูกด้วยซิลิโคน เช่น กลัวการผ่าตัด แพ้ยาสลบ หรืออยากลองฉีดฟิลเลอร์จมูกเพื่อดูก่อนว่าอยากได้ทรงจมูกแบบไหน ฯลฯ ก็จะฉีดฟิลเลอร์จมูกแทน แต่การฉีดฟิลเลอร์จมูกนั้นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก และต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  • ฉีดฟิลเลอร์เพื่อลดเลือนริ้วรอย แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า คอ หรือมือ เป็นต้น หรือในบริเวณที่ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยการฉีดโบทูลินั่มท็อกซินได้
  • แก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ให้ใบหน้ากลับมาเต่งตึงอีกครั้ง
  • เติมเต็มใต้ตา ลดรอยคล้ำใต้ตา เปลี่ยนใบหน้าอ่อนล้าให้กลับมาสดใส
  • ฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปหน้า เช่น หน้าผาก ขมับ คาง ให้ใบหน้าดูสมส่วนสวยงาม
  • เติมฟิลเลอร์เพื่อปรับโหวงเฮ้ง
  • เพิ่มความชุ่นชื่นให้แก่ผิว ผิวฉ่ำวาว
  • ช่วยแก้ปัญหาหลุมสิว รักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น
  • ฟิลเลอร์มีความปลอดภัย ผ่านอย. จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือมีสารตกค้างในร่างกาย
  • สามารถเติมใหม่ได้เรื่อยๆ ตามต้องการ หรือฉีดสลายได้โดยใช้ยาเฉพาะสลายฟิลเลอร์ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย
  • หลังการฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เห็นผลทันที โดยไม่ต้องนอนพักฟื้น

ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท ?

เนื้อฟิลเลอร์ มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน ซึ่งโมเลกุลของเนื้อเจลจะมีความหนาแน่นที่แตกต่างกัน

  1. ฟิลเลอร์เนื้อเบา หรือ เนื้อนิ่ม ลักษณะเนื้อเจลค่อนข้างเหลว มีความยืดหยุ่นน้อยที่สุด คงรูปน้อยที่สุด จึงเหมาะกับการฉีดผิวบริเวณตื้นและบาง หรือเหมาะกับคนที่ต้องการเติมน้ำให้ผิวฉ่ำวาว ชุ่มชื่นมากกว่า เช่น ฟิลเลอร์ปากสายฝอ ปากอวบอิ่ม , ฟิลเลอร์ร่องน้ำตา เป็นต้น
  2. ฟิลเลอร์เนื้อปานกลาง ลักษณะเนื้อเจลนิ่ม มีความยืดหยุ่นสุง เหมาะสำหรับฉีดเพื่อเติมเต็มใบหน้า ปรับรูปหน้าให้สวยงาม และดูเป็นธรรมชาติ ใบหน้าดูละมุน เช่น ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นต้น
  3. ฟิลเลอร์เนื้อหนัก หรือ เนื้อแข็ง เนื้อเจลจะมีความยืดหยุ่นสูงที่สุด เหมาะสำหรับใช้ปั้นเพื่อปรับรูปหน้าให้ดูดดเด่น เพิ่มมิติให้ใบหน้าให้ดูชัด ยกกระชับใบหน้า เช่น ฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับคางให้รับกับใบหน้า ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มขมับที่ตอบ หรือใช้ยกกระชับใบหน้าในคนอายุเยอะ แก้มห้อย หน้าตก โดยฉีดใต้ผิวชั้นลึก

THREAD LIFT

ร้อยไหม

คืออะไร ?

ร้อยไหม คือ วิธีที่นำมาใช้ในการยกกระชับ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนังบนใบหน้า รวมถึงช่วยฟื้นฟู ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้น เป็นวิธียกกระชับที่ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย แต่โดยทั่วไปนิยมใช้กับผิวหน้ามากกว่า โดยหลักการของเทคนิคนี้คือ การใช้ไหมร้อยเข้าไปบริเวณใต้ผิวหนัง โดยไหมที่ร้อยเข้าไปนั้นจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิว ส่งผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมาพันรอบแนวเส้นไหม ช่วยให้เกิดการดึงรั้งของผิวหน้าจนเต่งตึงและกระชับ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้มาเลี้ยงชั้นผิวหนังบริเวณดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วย

ร้อยไหมมีประโยชน์อย่างไร

ทำไมต้องร้อยไหม ?

  1. ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าที่หย่อนคล้อย ซึ่งผลลัพธ์จากการร้อยไหมอยู่ได้นาน
  2. ไหมจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งจะทำให้ผิวเกิดการกระชับและตึงทันทีหลังร้อยเสร็จ
  3. ขณะที่ไหมละลายอยู่ใต้ผิวหนัง จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ ส่งผลทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงชั้นผิวหน้าได้เพิ่มขึ้น
  4. ใช้เวลาไม่นาน มีประสิทธิภาพสูง เห็นผลทันทีหลังทำ
  5. ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก รวมถึงช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้กลับมากระจ่างใส
  6. ไม่ต้องผ่าตัดและพักฟื้น มีผลข้างเคียงน้อย

ร้อยไหมเหมาะกับใคร ทำตรงไหนได้บ้าง

การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย รูปหน้าไม่กระชับ อยากปรับรูปหน้าให้เรียว มีแก้มค่อนข้างเยอะ และต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้กลับมาเปล่งปลั่ง ตึงกระชับมากขึ้น โดยปัญหาแก้มหย่อนคล้อยนั้นเกิดจากเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหน้าจะลดลง จึงทำให้ผิวหน้ามากองอยู่ที่บริเวณขอบกราม และเหนียง การร้อยไหมจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ประสบปัญหานี้ เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นเซลล์ให้สร้างเส้นคอลลาเจนขึ้นมารอบเส้นไหม ช่วยให้เกิดการดึงรั้งของผิวหน้า ทำให้ผิวหนาเต่งตึงและกระชับแต่ทั้งนี้เนื้อเยื่อของผู้ที่จะทำการร้อยไหมต้องไม่ยุบตัวหรือผิวหนังต้องไม่หย่อนคล้อยมากเกินไป เพราะอาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธิ์ดีเท่าที่ควร ซึ่งหากผิวหนังหย่อนคล้อยเนื่องจากอายุหรือมีน้ำหนักตัวมาก อาจจะต้องมีการร้อยไหมร่วมกับการทำหัตถการหรือวิธีการอื่น เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น

ULTRAFORMER III

Ultraformer III

คืออะไร ?

Ultraformer III คือ เครื่องมือยกกระชับผิวหย่อนคล้อย ลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า รอบดวงตา หว่างคิ้ว หน้าผาก ร่องแก้ม ร่องมุมปาก เหนียง คอ รวมทั้งปรับรูปหน้าเรียว ปรับรูปร่าง เช่น ต้นแขน เอว หน้าท้อง ต้นขา ให้กระชับขึ้น สามารถทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายครับ

หลักการทำงานของเครื่อง Ultraformer III จะใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (High Intensity Focused Ultrasound Macrofocus) ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวแต่ละชั้น เพื่อทำให้ผิวชั้นนั้นหดตัวเสมือนกับการเย็บที่เนื้อ ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นยกกระชับขึ้น และดูอ่อนเยาว์

Ultraformer III  มีหัวยิงหลายหัว แพทย์จะเลือกหัวยิงที่เหมาะสม เพื่อจัดการกับปัญหาผิวในแต่ละระดับความลึกของชั้นผิว

  • หัวยิงความลึก 5-2.0 mm ใช้กับผิวชั้นบน (Upper Dermis) ช่วยเรื่องริ้วรอย เช่น ลดริ้วรอย รอบดวงตา หว่างคิ้ว หน้าผาก
  • หัวยิงความลึก 0 mm  ใช้กับผิวชั้นกลาง (Lower Dermis) ไขมันและเซลลูไลท์ กระชับใบหน้า กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณแก้ม
  • หัวยิงความลึก 5 mm ใช้กับผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic ช่วยลดSystem) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับหรือผ่าตัดดึงหน้าให้กระชับ เช่น ยกแก้ม เก็บกรอบหน้า ลดร่องแก้ม เหนียง

Ultraformer III

ช่วยอะไรได้บ้าง ?

Ultraformer III ช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอยได้ทั้ง ใบหน้า เหนียง ลำคอ รวมถึงรูปร่าง

  • ช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว
  • ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยบนผิวหน้า และรอบดวงตา
  • ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ทำให้คิ้วยกขึ้น ดวงตาโต
  • ช่วยแก้ปัญหาร่องมุมปาก และลดร่องแก้มลึก
  • ช่วยลดปัญหาชั้นไขมันใต้คาง ลดเหนียง ลดคาง 2 ชั้น
  • ช่วยยกกระชับผิว บริเวณเอว หน้าท้อง สะโพก ต้นแขน ต้นขา ท้องแขน

Ultraformer III

ใครบ้างที่เหมาะสม

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวใบหน้าหย่อนคล้อย
  • ผู้ที่มีผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย เช่น ร่องใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก
  • ผู้ที่ต้องการกรอบหน้าชัด ลดเหนียง
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวย โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
  • ผู้ที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ ให้กับใบหน้า
  • ผู้ที่ต้องการยกกระชับรูปร่าง บริเวณเอว หน้าท้อง สะโพก ต้นแขน ต้นขา ท้องแขน

Ultraformer 3 ดีไหม ?

Ultraformer 3 เป็นเครื่องมือยกกระชับที่มีประสิทธิภาพดี ได้รับความนิยม มีผู้ใช้บริการต่อเนื่องครับ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่กลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด แต่ต้องการยกกระชับผิว ให้เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ สามารถแก้ปัญหาผิวได้ตรงจุดมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบผลลัพธ์กับราคา

หลังทำเห็นผลทันทีประมาณ 20% โดยจะรู้สึกหน้ายกกระชับขึ้น หลังจากนั้น 3-4 เดือน จะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ ยิ่งทำยิ่งได้ผลลัพธ์ดีขึ้นครับ

Fractional CO2 Laser

Fractional CO2 Laser

คืออะไร?

Fractional CO2 เป็นเลเซอร์เปลี่ยนผิวใหม่โดยการกำจัดผิวเดิมออกด้วยลำแสงเลเซอร์ขนาดจิ๋วที่มีระบบ Scanner ทำให้มีความแม่นยำสูงในการปล่อยพลังงานลงไปได้ลึกถึงระดับที่ต้องการ สามารถเลือกบริเวณที่ทำการรักษาได้เฉพาะเจาะจง ไม่จำเป็นต้องฉีดยาชาเพราะไม่เจ็บปวดรุนแรง ระยะที่มีอาการบวมแดงสั้นเพียง 2-4 วัน หลังการเปลี่ยนผิวใหม่ ผิวจะเรียบเนียน นุ่ม และใสขึ้น รอยดำจางลง รอยแดงลดลง รูขุมขนกระชับ แผลเป็นหลุมสิวตื้นขึ้น ริ้วรอยจางลง สุขภาพผิวดีขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม

Fractional CO2

ทำงานอย่างไร?

การเสื่อมสภาพของผิวโดยธรรมชาติ เกิดขึ้นจากแสงแดดและมลภาวะ ทำให้ Collagen เสื่อมสภาพ ซึ่ง Collagen เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญที่ทำให้ผิวดูเอิบอิ่มและปราศจากริ้วรอย การเปลี่ยนผิวใหม่ด้วยเลเซอร์ Fractional CO2 ทำงานโดยการการยิงลำแสงที่มีขนาดเล็กมากๆ เข้าไปในผิว ทำให้เกิดรูเล็กๆ ขึ้นในผิว กระตุ้นให้ผิวสร้าง Collagen ใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
บริเวณที่เหมาะกับการทำ Fractional CO2
– ริ้วรอยเล็กรอบดวงตา รอบปาก
– รอยร่องลึกที่แก้มและหน้าผาก
– บริเวณที่เป็นสิว
– บริเวณที่มีแผลเป็นหลุมสิว
– บริเวณที่มีเม็ดสีผิดปกติ
– ทั่วใบหน้า ลำคอ เข่า ข้อศอก มือ แขน

การทำการรักษาด้วย Fractional CO2

ต้องทำทั้งหมดกี่ครั้ง?

การทำการรักษาด้วย Fractional CO2 จำนวนครั้งในการรักษาตั้งแต่ 3-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวพรรณ
เมื่อไรจึงจะเห็นผล?
การเปลี่ยนแปลงของผิวบริเวณใต้ตา สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนการรักษาแผลเป็นหลุมสิวนั้นต้องทำการรักษาประมาณ 4-6 ครั้ง จึงจะเห็นผลสูงสุดหลังการรักษา

การดูแลรักษาผิวหลังทำเลเซอร์
1. แผลห้ามถูกน้ำ 24 ชม. แรก หรือตามแพทย์สั่ง
2. หลักจาก 24 ชม. ให้แกะพลาสเตอร์ติดแผลออก และล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน หรือน้ำเปล่า
3. เมื่อเริ่มมีสะเก็ดห้ามแกะ อาจใช้น้ำมัน (oil) หรือยาทาที่แพทย์สั่งแต้มสะเก็ดเช้า – เย็น จนกว่าสะเก็ดจะหลุดไปเอง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
4. ยาอื่นๆ ที่ใช้อยู่ให้ใช้ได้ตามปกติ แต่ทาเว้นบริเวณที่ทำเลเซอร์ไป
5. เมื่อสะเก็ดหลุดให้เริ่มทาครีมกันแดดทุกวันในตอนเช้า และพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด
6. ระหว่างนี้อาจมีรอยแดงช้ำ หรือรอยหลุมตื้น ๆ ซึ่งจะดีขึ้นเองช้าๆ ถ้ามีปัญหารอยดำเกิดขึ้นให้ปรึกษาแพทย์

Diode Laser

Diode Laser

คืออะไร ?

Diode Laser มีความยาวคลื่นแสง 808 nm เป็นความยาวคลื่นที่เหมาะสมกับการกำจัดขนในคนเอเชียที่มีขนสีเข้ม เนื่องจากแสงเลเซอร์จะจับกับ เมลานิน บริเวณรากขนได้ดี ทำให้เกิดความร้อนสะสมสูงและทำให้รากขนอ่อนแอและหลุดร่วงโดยไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง การรักษาด้วย Diode Laser จึงมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงมาก ผลของการใช้แสงเลเซอร์จะไม่ก่อให้เกิดรอยนูน ขนหนังไก่ หรือผิวหนังเป็นตะปุ่มตะป่ำหลังทำ ชะลอการงอกขนใหม่ อีกทั้งทำให้ขนที่เกิดใหม่อ่อนนุ่มลง

ไดโอดเลเซอร์ ควรทำกี่ครั้ง

โดยทั่วไปไดโอดเลเซอร์กำจัดขน ควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 5-8 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี

ส่วนการดูจำนวนครั้งในการทำเลเซอร์กำจัดขน จะขึ้นกับลักษณะเส้นขน ปริมาณเส้นขน สีผิว และบริเวณที่ต้องการกำจัดขน โดยถ้ามีจำนวนขนเยอะ ขนเส้นใหญ่ และสีผิวเข้ม จะต้องทำเป็นจำนวนครั้งที่มากกว่า

ข้อดีของการกำจัดขนด้วย

Diode Laser

  • แสงเลเซอร์มีความจำเพาะกับเซลล์รากขน จึงสามารถกำจัดขนได้ทั้งเส้นใหญ่ และเส้นเล็ก ลดอัตราการเกิดเส้นขนใหม่ ซึ่งหลังการทำครั้งแรกปริมาณเส้นขนลดลงทันทีเห็นได้ชัด และผลจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หากมีการทำซ้ำในชวงเวลาที่เหมาะสม เส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดเล็กลง อ่อนนุ่ม สีจางลง และค่อยๆ หมดไปในที่สุด
  • ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง ไม่มีรอยนูน ขนหนังไก่
  • หัวเลเซอร์มีการทำความเย็น และใช้ร่วมกับเจลเย็น ทำให้ไม่เจ็บหรือร้อนในขณะทำเลเซอร์กำจัดขน

NAD+

NAD+ 

คืออะไร ?

NAD+ มีชื่อเต็มว่า Nicotinamide adenine dinucleotide คือ นวัตกรรมแห่งการชะลอวัย ชะลอการเสื่อมของสมอง และการเสื่อมของเซลล์เกือบทุกชนิด ซึ่ง NAD+ นั้นเป็นโคเอนไซม์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นเซลล์ที่พบได้ร่างกาย มาจากวิตามินบี และเป็นเซลล์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ ช่วยส่งเสริมการทำงานของเซลล์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ในร่างกาย ให้มีอายุที่ยืนยาวขึ้นอย่างแข็งแรง

เนื่องจากสารตัวนี้จะช่วยซ่อมแซม DNA ซ่อมแซมเซลล์และเมตาบอลิซึมของเซลล์ในร่างกายให้ดีขึ้น และยังช่วยเพิ่มระดับของ NAD+ ที่มีอยู่ในร่างกาย จะช่วยชะลอวัย หรือทำให้เราห่างไกลจากความแก่ ความเสื่อมสภาพ ทั้งของสมอง ระบบประสาทและสุขภาพ

เมื่อเราอายุมากขึ้น NAD+ ในร่างกายจะลดลง ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ การเสื่อมถอยของระบบประสาทและสมอง ปัญหาเรื่องความชรา ความจำลดลง เสี่ยงก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ ภาวะมีบุตรยาก โรคชรา รวมถึงปัญหาเรื่องของผิวพรรณ มีริ้วรอย ความสดใส เปล่งปลั่ง

โปรแกรม NAD+ IV Therapy

เหมาะกับใครบ้าง

ผู้ที่อยากเพิ่มความแข็งแรงให้สุขภาพภายร่างกาย ให้อายุยืนยาวขึ้น • ผู้ที่ต้องการช่วยเพิ่มระดับการทำงานของร่างกาย และช่วยลดความเหนื่อยล้า • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาทและสมอง • ผู้ที่ประสบกับปัญหาหรือภาวะ การทำงานของระบบสมองเสื่อมถอยลง • ผู้ที่ชอบออกกำลังกาย • ผู้ที่ความอ่อนล้า อ่อนเพลีย สะสม จะช่วยฟื้นบำรุงร่างกาย รู้สึกถึงความสดชื่น เฟรชขึ้น • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความแข็งแรงการทำงานของกล้ามเนื้อ • ผู้ที่กำลังเร่งลดน้ำหนัก • ผู้ที่มีปัญหาคอลเลสเตอรอลสูง จะช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย • ผู้ที่เคยติดสารเคมีหรือใช้สารเคมีมากไปในทางที่ไม่ถูก • ผู้ที่ต้องการ ชะลอการความเสื่อมของเซล์ต่างๆ • ผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีระยะยาว • ผู้ที่ต้องการมีอายุยืนยาว • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาท • ผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงานสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความเหนื่อยล้า และเพิ่มระดับพลังงาน • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความแข็งแรงและการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมถึงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และการเผาผลาญไขมัน

Ultraformer III

                                 ใครบ้างที่เหมาะสม

ประโยชน์ของ NAD+ IV Therapy

ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ได้ลึกถึงระดับ DNA

เพิ่มการผลิตพลังงานให้แก่เซลล์ในร่างกาย

กระตุ้นการทำงานของโคโมโซมในร่างกายในแข็งแรงขึ้น

เพิ่มระดับการทำงานของระบบประสาท

ช่วยฟื้นบำรุงให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดียืนยาว

ช่วยชะลอวัย ลดเลือนความแก่ ริ้วรอยแห่งวัย

ช่วยเร่งการเผาผลาญ

เติมความสดชื่นให้กลับมาสดใส แข็งแรง

ช่วยเพิ่มพลังงานสมอง ทำให้เซลล์สมองทำงานได้อย่างเต็มที่

ลดความอ่อนล้าของสมอง

ช่วยบรรเทาอาการอยากยาเสพติด

ช่วยเพิ่มความยาวของเทโลเมียร์ มีผลทำให้ร่างกายแข็งแรง มีอายุยืนยาว

ช่วยให้การมองเห็นและได้ยินดีขึ้น

ช่วยชะลอกระบวนการความชราของเซลล์ในร่างกาย

ช่วยให้หลอดเลือดมีความอ่อนตัว ยืดหยุ่นได้ดี

ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

ช่วยให้ความจำดีขึ้น

Chelation Therapy

(ล้างพิษหลอดเลือด)

การทำคีเลชั่นบำบัด เพื่อขจัดสารพิษ และโลหะหนักในร่างกาย 

Chelation Therapy

(ล้างพิษหลอดเลือด)

คีเลชั่น คือ การล้างพิษหลอดเลือด ผ่านทางน้ำเกลือ ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ต่างๆ  ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท  สารหนู หรือแม้แต่แคลเซียมส่วนเกินซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อและพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดของเราแล้วขจัดสารโลหะหนักเหล่านี้ออกผ่านระบบปัสสาวะ ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือแต่ละครั้งประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้น้ำเกลือ สามารถพักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ปกติ ภายหลังเสร็จการรักษาสามารถประกอบกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม

คีเลชั่น

เหมาะกับใครบ้าง

 ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือใกล้ชิดกับผู้ที่สูบบุหรี่ ฯลฯ

–  ผู้ที่มีปัญหาสารพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย

–  ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนโลหิตบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ

 ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น

–  ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือดตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัว และต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต

–  ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด ใส่ขดลวด ทำบายพาสมาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เกิดขึ้น ซึ่งการทำคีเลชั่นจะลดปัญหาเหล่านั้นได้

เมื่อไหร่ที่ร่างกายควรทำคีเลชั่นบำบัด 

คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เหมาะสำหรับผู้ที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการสะสมมากเกินไปจะส่งผลเสีย จึงควรรีบล้างสารพิษออกให้เร็วที่สุด ซึ่งผู้ที่มีสารพิษสะสมมาก มักแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน ดังนี้

  การปวดศีรษะบ่อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา

อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม

ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนเป็นรูมาตอยด์

ประสาทตึงเครียด และร่างกายไม่แข็งแรง เพศสัมพันธ์เสื่อม

เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง

 เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ

– ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมาก และระบบเผาผลาญทำงานน้อย ทำให้ร่างกายอ้วน

– ขับถ่าย และละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า

 ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก

 เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ

– มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย

Chelation Therapy

(ล้างพิษหลอดเลือด)

คีเลชั่น คือ การล้างพิษหลอดเลือด ผ่านทางน้ำเกลือ ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ต่างๆ  ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท  สารหนู หรือแม้แต่แคลเซียมส่วนเกินซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อและพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดของเราแล้วขจัดสารโลหะหนักเหล่านี้ออกผ่านระบบปัสสาวะ ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือแต่ละครั้งประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้น้ำเกลือ สามารถพักผ่อน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ปกติ ภายหลังเสร็จการรักษาสามารถประกอบกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม

คีเลชั่น

เหมาะกับใครบ้าง

 ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด เช่น อุดฟันด้วยโลหะ อมัลกัม มีไขมันในเส้นเลือดสูง มี oxidative stress (ระดับอนุมูลอิสระสูง) เช่น ดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือใกล้ชิดกับผู้ที่สูบบุหรี่ ฯลฯ

–  ผู้ที่มีปัญหาสารพิษโลหะสะสมและปัญหาสารพิษอื่นๆ สะสมในร่างกาย

–  ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนโลหิตบกพร่อง มีอาการ เช่น เวียนหัวง่าย ฯลฯ

 ผู้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น

–  ผู้ที่แข็งแรงดี แต่ต้องการป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งและโรคเส้นเลือดตีบตัน รวมทั้งต้องการกำจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากตัว และต้องการรักษาสภาพของเส้นเลือดทั่วตัว ไม่ให้เกิดการอุดตันในอนาคต

–  ผู้ที่ไปทำบอลลูนเส้นเลือด ใส่ขดลวด ทำบายพาสมาแล้ว เพราะจะเกิดการอุดตันใหม่เกิดขึ้น ซึ่งการทำคีเลชั่นจะลดปัญหาเหล่านั้นได้

เมื่อไหร่ที่ร่างกายควรทำคีเลชั่นบำบัด 

คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เหมาะสำหรับผู้ที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการสะสมมากเกินไปจะส่งผลเสีย จึงควรรีบล้างสารพิษออกให้เร็วที่สุด ซึ่งผู้ที่มีสารพิษสะสมมาก มักแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน ดังนี้

  การปวดศีรษะบ่อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา

อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม

ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนเป็นรูมาตอยด์

ประสาทตึงเครียด และร่างกายไม่แข็งแรง เพศสัมพันธ์เสื่อม

เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง

 เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ

– ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมาก และระบบเผาผลาญทำงานน้อย ทำให้ร่างกายอ้วน

– ขับถ่าย และละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า

 ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก

 เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ

– มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย

Stem Cell Therapy

(เซลล์บำบัด )

Stem Cell Therapy

Stem Cell Therapy

(เซลล์บำบัด )

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) มีคุณสมบัติในการช่วยชะลอวัย รวมไปถึงช่วยในการบำบัดรักษาโรค ในวัยผู้สูงอายุที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายอย่างล้ำลึกและรวดเร็ว การฉีดสเต็มเซลล์เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีและปลอดภัย เพราะสเต็มเซลล์ก็คือการใช้เซลล์ซ่อมเซลล์ ซ่อมแซมความเสื่อมของร่างกาย เข้าไปทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพหรือตายไปแล้ว ประสิทธิภาพหลังจากฉีดจะช่วยให้ร่างกายได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) กับความงาม

การฉีดสเต็มเซลล์ผิวหน้า  เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคนที่อยากมีผิวสวย ดูสุขภาพดี และต้องการคืนความอ่อนเยาว์ โดยคุณสมบัติพิเศษของสเต็มเซลล์ (stem cell) นั่นก็คือ สามารถซ่อมแซมเซลล์ หรือทดแทนเซลล์ที่เสื่อมได้ ปัจจุบันการฉีดสเต็มเซลล์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงกว่า ซึ่งจะแตกต่างกับการทำทรีทเม้นผิวหน้า ที่ทำได้เพียงฟื้นฟูผิวหนังเท่านั้น ไม่สามารถฟื้นฟูลงลึกได้เท่ากับการฉีดสเต็มเซลล์

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) กับข้อเข้าเสื่อม

หากข้อเข่าเสื่อมไม่มาก สเต็มเซลล์จะสามารถรักษาได้ดี คือ สเต็มเซลล์จะไปกระตุ้นเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนที่เกิดการเสียหายให้กลับมาปกติ
แต่ถ้าข้อเข่าเสื่อมมีอาการหนักก็จะต้องเติมสเต็มเซลล์หลายๆ ครั้ง เพราะสเต็มเซลล์จะค่อยๆ สร้างและซ่อมแซมส่วนที่เสียไป

สเต็มเซลล์จะมันไม่เหมือนกับสารเติมเต็มที่ฉีดไปแล้วเป็นโฟม
เพราะฉะนั้น สเต็มเซลล์จะใช้รักษาข้อเข่าเสื่อมได้ดี โดยการกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่สึกหรอ
และช่วยฟื้นฟูกระดูกที่เกิดจากความเสื่อมแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูอวัยวะทุกส่วนที่เกี่ยวข้องไปพร้อมๆ กัน

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) กับข้อเข้าเสื่อม

หากข้อเข่าเสื่อมไม่มาก สเต็มเซลล์จะสามารถรักษาได้ดี คือ สเต็มเซลล์จะไปกระตุ้นเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนที่เกิดการเสียหายให้กลับมาปกติ
แต่ถ้าข้อเข่าเสื่อมมีอาการหนักก็จะต้องเติมสเต็มเซลล์หลายๆ ครั้ง เพราะสเต็มเซลล์จะค่อยๆ สร้างและซ่อมแซมส่วนที่เสียไป

สเต็มเซลล์จะมันไม่เหมือนกับสารเติมเต็มที่ฉีดไปแล้วเป็นโฟม
เพราะฉะนั้น สเต็มเซลล์จะใช้รักษาข้อเข่าเสื่อมได้ดี โดยการกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่สึกหรอ
และช่วยฟื้นฟูกระดูกที่เกิดจากความเสื่อมแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูอวัยวะทุกส่วนที่เกี่ยวข้องไปพร้อมๆ กัน

ข้อดีของการรักษาโรคข้อกระดูก

ด้วยการใช้เซลล์บำบัด

  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องรับความเสี่ยงและความเจ็บปวดจากการผ่าตัด
  • สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาในการรักษาน้อย
  • ใช้เวลาพักฟื้นน้อย เพียงประมาณ 1-2 วัน
  • ผลการรักษายั่งยืนกว่า เนื่องจากเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ
  • ลดอาการเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คนไข้ไม่ต้องใช้ยาอีก ช่วยสร้างผิวข้อเข่าขึ้นใหม่ จึงให้ผลดีในระยะยาว
  • ค่าใช้จ่ายเป็นครั้งอาจดูสูง แต่โดยรวมแล้วในระยะยาวต่ำกว่าการรักษาโดยทั่วไป
  • ไม่ต้องใช้ยา เช่นยาแก้ปวดซึ่งมีผลข้างเคียง
  • โอกาสในการเป็นซ้ำช้ากว่า หรือน้อยหากมีการดูแลและออกกำลังกายที่เหมาะสม
  • ผลข้างเคียงน้อย หรือไม่มีเลย
  • สามารถรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น เริ่มมีอาการ จนถึงระยะท้ายๆ เพื่อลดอาการเจ็บปวดและประคับประคองผู้ป่วย

ประโยชน์ของ สเต็มเซลล์ 

ในการรักษาทางการแพทย์ ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

  1. การทำสเต็มเซลล์ เธอราปี (Stem Cell Therapy)
    สามารถทดแทนเซลล์เก่าที่เสียหายได้ :สเต็มเซลล์สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของอวัยวะในร่างกายเราเองได้ เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์ตับอ่อน (Pancreatic islet cells), เซลล์กระดูก (Bone Cells), เซลล์กล้ามเนื้อ (Muscle cells), เซลล์ประสาท (Neurons), เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cells), เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells), เซลล์อื่น ๆ (Other Types of cells) เป็นต้น
  2. สเต็มเซลล์ ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย
    โดยจะมีหลั่งสาร Interleukin, Cytokine เพื่อยับยั้งการอักเสบได้ทั่วร่างกาย ช่วยรักษาและชะลอความเสื่อมจากโรคที่รุนแรงจากการอักเสบได้ เช่น โรคกลุ่ม Autoimmune
  3. ใช้ สเต็มเซลล์ เพื่อชะลอวัย (Anti-Aging) 
    Growth Factors สามารถผลิดได้จากสเต็มเซลล์ทำให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้รับการฟื้นฟูผ่านการสร้างหลอดเลือดเชื่อมต่อเซลล์

CONTACT

ที่อยู่ 175/2 ถ.ประชาสรรค์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา 24000

คลินิกเปิด

อังคาร – ศุกร์  14.30-19.30
เสาร์ – อาทิตย์ 11.30-19.30
หยุดทุกวันจันทร์